บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 003)

บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 3)

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จบักเคนไปเดินเล่นหน้าประสาทของมองเตสกิเออ เดินดูทิวสนเป็นแนวยาวอยู่เบื้องหน้าสลับกับไร่นาทุ่งข้าวสาลีเหลืองอร่าม ใกล้จะได้เก็บเกี่ยวของชาวบ้านฝรั่งเศส
บักเคนออกเดินชมธรรมชาติ และหวนคิดถึง เมืองไทยที่จากมา คิดถึงกลิ่นโคลน
และกลิ่นควันน้ำมันจาก รถไถนา ไม่รู้เหตุการณ์ที่เมืองไทยจะเป็นอย่างไรบ้าง บักเคนรำพึง “ใจลอยนึกอะไรอยู่หรือคุณเคน” เสียงมงเตสกิเออ ถาม บักเคน “ผมคิดถึงบ้านครับ มองเห็นนาข้าวสาลี นึกถึงนาข้าวบ้านผมที่อุบลครับ” “คุณเคนไปในตัวเมืองปารีสกับผมไหม” มงเตสกิเออถาม บักเคน “ไปครับ อยากดูวิถีชีวิตชาวฝรั่งเศสในอดีตหน่อยครับ” งั้นไปกัน มงเตสกิเออกับบักเคนได้นั่งรถม้าจากปราสาท มงเตสกิเออเดินทางสู่ใจกลางกรุง ปารีส แสงแดดยามเช้า ส่องประกายวันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าฝรั่งเศสสดใส บักเคนและมงเตสกิเออนั่งรถม้าผ่านทุ่งนา เห็นหญิงชาวบ้านไว้ผมแสกกลางถักเปียสองข้าง และยายที่หลังงองุ้มผมขาวโพลนทั้งศีรษะใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ขาดวิ่น ดวงตามองมาที่รถม้าที่กำลังวิ่งผ่านหน้าไป หลานสาวและยายอายุมากกำลังก้มลงเก็บรวงข้าวสาลีซึ่งร่วงหล่นอยู่ที่ผืนนาด้วยดวงตาสิ้นหวัง หลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่นาที่ตนเองเช่าทำนาและต้องทำนาจ่ายค่าเช่า เพื่อเก็บเมล็ดข้าวสาลีที่ร่วงหล่น ภาพของยายหลังงองุ้ม มือสั่นเทา กำลังก้มลงกอบเมล็ดข้าวสาลี ส่วนหญิงสาวเธอเอาถังไม้มาใส่ข้าวสาลีที่ร่วงหล่นบนผืนนาด้วยความระมัดระวัง เมล็ดข้าวสาลีที่ร่วงหล่นพอจะได้ทำขนมปัง เพื่อชีวิตได้อยู่รอดของยายกับหลานสาว ส่วนผู้ชายได้ไปเป็นทหารทำสงครามที่แดนไกล ไปสงครามขยายดินแดนเพื่อ องค์กษัตริย์ที่จะได้แผ่พระบารมีและศาสนจักรให้ขจรกระจาย เพื่อบารมีและบุญญาธิการขององค์ กษัตริย์ที่ปกครองฝรั่งเศส แต่ความทุกข์ยากของชาวบ้านที่อดอยากหิวโหยไม่ได้รับรู้จากเบื้องต้นแม้แต่น้อยนิดบักเคนเห็นภาพยายหลังงองุ้มกำลังงก ๆ เงิ่น ๆ ก้มกอบ รวงข้าวสาลี ก็นึกสะท้อนใจ ภาพในอดีตของภาคอีสานของไทย ได้ผุดขึ้นมาในใจของบักเคน ชาวนาอีสานที่ยากจน อย่างน้อยก็มี ที่นา สามารถปลูกข้าวไว้กินและเหลือไว้ขายได้ มีกบ เขียด กะปอม แมงจีนูน ไว้กินยังดีกว่าความยากจนที่ตนเห็นในฝรั่งเศส ชาวนาอีสานยังมีความสุขตามอัตภาพ แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าช่างขัดความรู้สึกเสียจริง บักเคนนั่งนึกอนาคตจากภาพที่เห็น ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอนาคตก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศสที่มีคนล้มตายมากมาย เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยและความอยู่รอดของผู้คน ชาวฝรั่งเศส “เป็นอะไรคุณเคน ไม่สบายหรือเปล่า” เสียงมงเตสกิเออ ถามบักเคน “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้สึกหดหู่ใจครับ ที่เห็นภาพยายกำลังก้มกอบข้าวสาลีครับ บ้านเมืองฝรั่งเศสในอดีตช่างแตกต่างจากปัจจุบันที่ผมมามาก ผมไม่เคยนึกเลยว่า ฝรั่งเศสในอดีตชาวบ้านจะยากจน ข้นแค้นมากขนาดนี้” เสียงบักเคนเบาพอมงเตสกิเออได้ยิน “อืมส์ ภาพคนจนในฝรั่งเศสนะ คุณเคน บ้านเมืองเรา มีโครงสร้างทางสังคมแบบชนชั้น โดยฐานะของผู้คนในสังคมมีสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ ชนชั้นอภิสิทธิ์และชนชั้นสามัญชน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราแบ่งคนออกฝรั่งเศสออกเป็นสามชนชั้น คือ ชนชั้นที่ 1 พระและนักบวชในคริสต์ศาสนา และชนชั้นที่สองคือ ขุนนางและชนชั้นสูง ทั้งสองชนชั้นเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ มีจำนวนน้อยนิดเทียบไม่ได้กับชนชั้นที่สาม ของชาวฝรั่งเศสทั้งหมด ชนชั้นพวกเรามีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายและหรูหราอย่างที่คุณเคนได้เห็นนั้นแหละ” วันนี้ผมจะนำคุณเคนไปหาเพื่อนในกลางกรุงปารีส คุณเคนคุณต้องทำใจ ชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่เป็นชาวนาและยากจนและถูกเก็บภาษีเพื่อส่งให้แผ่นดิน เพื่อไปทำสงครามประกาศอิสรภาพของชาวอเมริกันที่กำลังต่อสู้กับอังกฤษและงบประมาณส่วนหนึ่งต้องใช้ในราชสำนัก ดังนั้นทางการต้องเก็บภาษีจำนวนมากเพื่อให้เพียงพอกับกองทหารที่ส่งไปยังดินแดนไกล และการจัดเลี้ยง ค่าใช้จ่ายในราชสำนัก ท่านมงเตสกิเออ ผมขอถามอะไรหน่อยครับ “ท่านเป็นชนชั้นที่สอง ทำไมไม่คิดช่วยเหลือชาวบ้านทั่วไปบ้าง” บักเคนได้ถาม มงเตสกิเออ “ผมก็พยายามช่วยด้วยการแต่งหนังสือเพื่อเผยแพร่ความคิดของผมให้ชาวบ้าน ปัญญาชน พ่อค้า พวกช่างต่าง ๆ ได้รับรู้แนวคิดของผม แต่อำนาจของกษัตริย์ และขุนนางมากเหลือเกินลำพังผม คงทำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก” มงเตสกิเออตอบคำถามบักเคน และกล่าวต่อไปว่า “คุณเคนประเทศเราเก็บภาษีไม่เป็นระบบ แต่ละเมืองเก็บภาษีแตกต่างกัน เก็บภาษีเฉพาะชาวนา ส่วนเจ้าของที่ดิน ที่มีศักดินา ไม่ต้องเก็บภาษี องค์กษัตริย์และขุนนาง ครอบครองทรัพย์สินมหาศาลและไม่ต้องจ่ายภาษี นอกจากนี้ยังมีการเกณฑ์แรงงานผู้ชายไปเป็นทหาร และรับใช้ขุนนาง ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเหลือแต่ผู้หญิง และคนแก่ และระบบกฎหมายยังมีความวุ่นวายทั้งประเทศใช้กฎหมายไม่เหมือนกัน ผมถึงต้องเขียนหนังสือหลักการปกครอง หลักกฎหมาย เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับชาวฝรั่งเศสได้รับรู้และหาทางเปลี่ยนแปลงสังคม ฝรั่งเศสให้ดีขึ้น ชาวนาที่ยากจนจะได้ ลืมตา ปลดแอกจากความเป็นทาสจากระบบศักดินา นอกจากนี้นะ คุณเคน ระบบกฎหมายของฝรั่งเศสก็แปลกมา ทางตอนเหนือของประเทศใช้กฎหมายจารีตประเพณีเหมือนกับอังกฤษคู่สงคราม ของเรา ส่วนทางใต้ใช้กฎหมายโรมัน” “โอ้ ทำไม่เป็นอย่างนี้ครับท่านมงเตสกิเออ บ้านเมืองผม ในอดีตเท่าที่ผมทราบ มีความอุดมสมบูรณ์มาก ไม่มีคนอดอยาก ยากแค้นถึงขนาดนี้ อาหารหาได้ทั่วไปมีความอุดมสมบูรณ์ ในน้ำ มีปลา ในนามีข้าว” บักเคนได้พูดกับมงเตสกิเออ รถเทียมม้าก็วิ่งไปเสียงเกือกม้าที่ย่ำกับถนนช่างบาดหัวใจบักเคนนัก ที่เห็นภาพชาวบ้านร่วมโลกแม้จะต่างผิวพรรณ ต่างเชื้อชาติ แต่ต้องตกอยู่ในชะตากรรมที่ไม่แตกต่างกัน ต้องทนทุกข์ทรมานจากความยากจนด้วยผลของระบบศักดินาที่ปกครองฝรั่งเศสอยู่ อีกเมื่อไหร่หนา ถึงจะมีการปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศสบักเคนพยายามนึกภาพและปี ค.ศ. ที่มีการปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศส แต่บักเคนกลับนึก ไม่ออก เพราะเวลาเรียนก็ไม่ค่อยสนใจประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสสักเท่าใดนักเพราะเป็นเรื่องไกลตัว คนละทวีป ไกลจากอุบลราชธานี รถม้าวิ่งผ่านบ้านเรือนที่ทำจากอิฐก้อนใหญ่ ที่หลังคามุงด้วยหญ้าตั้งเรียงรายเป็นหมู่บ้านขนาดกลาง เห็นโบสถ์ขนาดใหญ่ อยู่ลิบ ๆ เป็นศิลปะ แบบโกธิค มีการใช้เสาหินเพื่อรองรับน้ำหนักประตูมองเห็นหน้าต่างแบบโค้งขนาดกว้างอยู่กลางโบสถ์ ผ่านจากโบสถ์ บักเคนมองเห็นทุ่งนาสลับกับบ้านเรือนของชาวบ้าน เห็นขบวนรถเทียมม้าบรรทุกข้าวสวนทางเข้าไปหมู่บ้าน เป็นข้าว ที่ชนชั้นศักดินาไปเก็บค่าเช่าจากชาวนาที่ยากจนและส่วนหนึ่ง จากแรงงานทาส ขณะที่นายทาสนั่งอยู่บนที่นั่งหน้ารถเทียมม้า มองเห็นแรงงานทาสช่วยกันผลักรถม้าที่บรรทุกข้าวจนเต็มเกวียนไปเก็บ ยังยุ้งฉางของชนชั้นศักดินา ก่อนที่จะถึงฤดูหนาวอันยาวนาน สายตาของทาสที่บักเคนเห็น เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และเหน็ดเหนื่อย จากการตรากตรำทำงานหนัก เพื่อแลกเศษอาหารและที่พักอาศัย เพื่อหลบความหนาวและพายุหิมะ ที่ตกโปรายปราย ทั่วฝรั่งเศสในฤดูหนาว


You may also like...