บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 13)

บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 13)

          เลดี้ มาแชม ได้จิบน้ำชาและชวนให้มงเตสกิเออและบักเคน จิบน้ำชา พร้อมทานขนมมาการอง ที่เลดี้ มาแชมได้คิดค้นขึ้นในช่วงบ้านเมืองเริ่มขัดสนอาหาร โปรตีนก็หายาก ขนมมาการองให้โปรตีนไม่แพ้เนื้อสัตว์ (ทำจากอัลมอนด์) และกล่าวต่อว่า

น่าสังเกตว่าลักษณะร่วมของเดส์การ์ตส์ คือ การอิงฐานความคิดใหม่ที่มีความแน่นอนตายตัว อันเป็นลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับ แต่ล็อคปฏิเสธแนวความคิดที่มีอยู่เดิมในเรื่องความคิดที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด”

          เลดี้มาแชม กล่าวต่อไปว่า “ล็อคกล่าวว่า พระเป็นเจ้าทรงประทานเหตุผลให้มนุษย์ พระองค์ไม่ประทานความคิดที่ติดตัวมาแต่กำเนิดให้ เพราะเป็นการกระทำที่เกินความจำเป็นอันขัดกับความมีเหตุผลของพระผู้เป็นเจ้าในเมื่อมนุษย์เองก็สามารถใช้เหตุผลที่พระองค์ประทานให้เพื่อค้นพบความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตได้ ล็อคเห็นว่ามนุษย์มีขอบเขตความสามารถในการรับรู้และเข้าใจที่จำกัด ล็อคชี้ว่าความเชื่อในความคิดที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดเป็นการอ้างความชอบธรรมแก่ผู้มีอำนาจเพื่ออ้างว่าตนเป็นผู้ปกป้องความเป็นจริงที่ตนเองได้ค้นพบ แล้วโดยกดขี่หรือแสวงหาประโยชน์จากผู้ที่อยู่ใต้อำนาจของตน

เลดี้ มาแชมได้เล่าต่อว่า สำหรับแนวคิดของเดส์การ์ตส์ที่มีอิทธิพลต่อฝรั่งเศสในสมัยนี้ยังคงเชื่อในความคิดที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แสดงว่าเดส์การ์ตส์เองก็ยังไม่ตัดขาดจากกระแสภูมิปัญญาโบราณเสียทีเดียว”

          “ทั้งนี้เพราะประการแรก แนวคิดเรื่องความคิดที่ติดตัวมา   แต่กำเนิด เป็นแนวคิดที่แพร่หลายของปรัชญาการเมืองสมัยโบราณ ประการที่สอง การเชื่อในความคิดที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเป็นการมองว่าตัวแบบแห่งความจริง ดำรงอยู่ในอดีตมิใช่ปัจจุบัน การพัฒนาความรู้จะเป็นไปได้จะต้องเริ่มจากการหวนกลับไปหาความสมบูรณ์แบบของจุดเริ่มต้นนั้นคือการค้นพบความจริงที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดในขณะที่เดส์การ์ตส์มีแนวคิดที่เชื่อมต่อภูมิปัญญาสมัยโบราณเข้ากับภูมิปัญญาสมัยใหม่ ซึ่งแนวคิดของล็อคปฏิเสธการเชื่อมต่อดังกล่าว เขาไม่เชื่อในความคิดที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดแต่เขามองว่า จิตมนุษย์เมื่อแรกเกิดมีลักษณะเหมือนกระดานชนวนที่สะอาด”

“เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์จึงได้สะสมความรู้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นความรู้มีลักษณะก้าวหน้าอันเป็นลักษณะหนึ่งของภาวะสมัยใหม่ นอกจากนี้ วิธีการสะสมความรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสอันเป็นวิธีศึกษาแบบประจักษ์นิยมก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของกระบวนการแสวงหาความรู้ในแบบวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่เป็นการสังเกตและการทดลองในช่วงที่ล็อคดำรงชีวิตอยู่ด้วย

“สำหรับข้อเขียนของล็อคในเรื่อง The First Treatise of Civil Government ล็อคได้โจมตีลัทธิเทวสิทธิที่สร้างความชอบธรรมของกษัตริย์ในการปกครองจากการที่กษัตริย์อ้างว่าตนสืบเชื้อสายมาจากแอดัม

          “เมื่อบิดาของ ล็อคเสียชีวิตลง ล็อคได้รับทรัพย์สินที่ดินเป็นมรดก แม้ว่ามรดกที่ได้รับจะมีเพียงเล็กน้อยแต่ก็ส่งผลให้ล็อคมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ล็อคได้ตัดสินใจเลือกเรียนแพทย์และก็เรียนจบ ได้ใบอนุญาตให้รักษาผู้ป่วยได้ ซึ่งฝีมือของล็อคเป็นที่ยอมรับแต่เขาพอใจที่จะฝึกหัดศิลปะในการรักษาและให้คำแนะนำ                 ทางการแพทย์เป็นครั้งคราวมากกว่าจะยึดอาชีพเป็นแพทย์

          “ต่อมาล็อคได้สนใจแนวคิดเรื่องทรัสต์นี้ ล็อคเขาเห็นว่าอำนาจของผู้ปกครองได้รับการถ่ายโอนจากประชาชนและมีผลผูกมัดต่อประชาชนในรูปของทรัสต์ที่ได้รับความไว้วางใจให้ผู้ปกครองต้องปกครองเพื่อ ผลประโยชน์ส่วนรวม (Common Good) โดยที่อำนาจนั้นยังคงอยู่ในมือของประชาชนที่ผู้ปกครอง ไม่อาจพรากเอาไป หรือล่วงละเมิดได้ แนวคิดของล็อคที่ว่ารัฐบาลอาจถูกล้มล้างไปแต่สังคมจะไม่สลายตามไปด้วย (สิทธิ ปฏิวัติ) และประชาชนโดยรวมมีอำนาจเหนือรัฐบาลนั้น ความคิดของล็อคนั้นการปฏิวัติเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้โดยชอบธรรม และแน่นอนการเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือการร่างรัฐธรรมนูญใหม่และการปฏิวัตินั้น ต่างสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนเป็นใหญ่เหนือองค์กรการปกครอง ล็อคเห็นว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน และรัฐบาลที่ชอบธรรมคือรัฐบาลมาจากความยินยอมและใช้อำนาจในลักษณะที่รับฝาก ความไว้วางใจจากประชาชนอย่างชั่วคราว (Fiduciary Trust)ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมีรูปแบบใดก็ตามนั้นแสดงถึงการที่ล็อคมองประชาธิปไตย หรือการปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่ที่จิตวิญญาณ (Spirit) มากกว่าที่ประชาธิปไตยจะเป็นเพียงรัฐบาลหรือการปกครองในรูปแบบหนึ่งเลดี้ มาแชมอธิบายให้บักเคนและตูส์แสงต์ ทั้งสองคนตั้งใจฟังเลดี้มาแชมเล่า

การเล่าตำนานของล็อค จะส่งผลต่อความคิดของ ตูส์แสงต์ที่ได้รับแนวคิดมงเตสกิเออและล็อค และสุดท้ายได้เป็นวีรบุรุษของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศเฮติในอนาคต

          “แนวคิดของล็อคต้องการพิสูจน์ว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้โอนความเป็นเจ้าของสรรพ สิ่งบนโลกอันรวมถึงมนุษย์ผู้อื่นให้แอดัมครอบครอง แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานสิทธิในการใช้สรรพสิ่งทั้งมวลให้มนุษย์ ทุกผู้ทุกนามร่วมกันแต่ไม่ได้ให้โลกทั้งโลกแก่มนุษย์ผู้ใด เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า จากพระคัมภีร์ ล็อคได้ตีความพระประสงค์ของ พระผู้เป็นเจ้าว่าพระองค์ต้องการให้มนุษย์สืบเผ่าพันธุ์เจริญงอกงาม  เป็นพระประสงค์ของพระองค์ เป็นกฎธรรมชาติอันมีเนื้อหาว่าเป็นการรักษาชีวิตของตนเองและผู้อื่นและด้วยพระประสงค์เช่นนี้เอง  ที่ทำให้มนุษย์ ได้รับสิทธิจากพระองค์ให้สามารถจากผืนดินผืนน้ำหรือทรัพยากรต่าง ๆ บนโลกได้ ร่วมกันใช้”

“การตีความพระคัมภีร์ที่ว่าแอดัมหรือทายาทที่สืบต่อจากแอดัมเป็นเจ้าของทุกสิ่งบนโลก รวมถึงมนุษย์ทุกผู้ทุกนามนั้นไม่ถูกต้อง เพราะกษัตริย์อาจปฏิเสธไม่ให้มนุษย์คนอื่นได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรบนโลก พื่อหาอาหาร อันทำให้มนุษย์ผู้นั้นอดตายได้ และผลจากการปฏิเสธของกษัตริย์นั้นเป็นสิ่งที่ขัดกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”

          “นอกจากนี้ ล็อคได้กล่าวแย้งอำนาจสูงสุดที่นักปราชญ์  กล่าวอ้างว่า แอดัมมีเหนืออีฟและลูกหลานของเขา ล็อคเห็นว่ามีข้อแย้งหลายประการ กล่าวคือ นอกจากบุตรจะต้องเคารพบิดาแล้ว บุตรต้องเคารพมารดาด้วย นอกจากนี้ สิทธิอำนาจทั้งสองประการ มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ บิดา มารดา มีวัตถุประสงค์ในการใช้อำนาจเพื่อปกป้องคุ้มครองบุตรหลานให้พัฒนาทั้งทางร่างกายและสติปัญญา อำนาจนี้ไม่ใช่อำนาจที่จะผูกพันไปตลอดชีวิตบุตร ดังนั้น การใช้สิทธิอำนาจของบิดาและมารดาจึงมีช่วงเวลาที่จำกัดและไม่ใช่อำนาจสิทธิขาดที่บิดามารดาจะสามารถกระทำอย่างไรกับบุตรหลานก็ได้

เพราะสิทธิอำนาจนี้ถูกผูกพันไว้ด้วยวัตถุประสงค์ดังได้กล่าวไว้แล้ว

          เลดี้ มาแชม กล่าวต่อไปว่า อำนาจการเมืองการปกครอง           เป็นอำนาจในลักษณะของทรัสต์ที่ประชาชนได้มอบหมายให้ ผู้ปกครองทำหน้าที่บริหารประเทศเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เมื่ออำนาจทั้งสองอย่างมีลักษณะพื้นฐานที่แตกต่างกันเช่นนี้แล้ว การที่นักปราชญ์นำเอาอำนาจของผู้ปกครองรัฐกับอำนาจของบิดามารดามาเทียบว่ามีลักษณะเดียวกัน จึงเป็นความเข้าใจที่สับสน เป็นอย่างยิ่งบักเคนและ ตูส์แสงต์ นั่งฟังและนั่งนึกตามที่เลดี้  มาแชม เล่าให้ฟัง

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *