บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 31)
by admin · สิงหาคม 9, 2020

บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 31)
แถบย่านสลัมใกล้ชอง กาลีเซ่ จะมีสายลับของขุนนาง มาสืบข่าวสมาคมลับอยู่บ่อยครั้ง และบางครั้งก็จับคนที่น่าสงสัยไปทรมานเพื่อให้บอกว่าใครเป็นคนของสมาคมลับ ชาวบ้านหลายคนที่ถูกจับไป ส่วนมากจะไม่ได้กลับมาอีก มีแต่เพียงข่าวลือว่าถูกฆ่าตาย หรือถูกทรมานจนตาย ความหวาดกลัวแผ่ไปทั่วแถวนี้ ชาวบ้านอยู่กันด้วยความหวาดระแวงถ้ามีคนแปลกหน้าเข้ามาจะไม่คุยด้วย ถ้าสอบถามจะอกว่าไม่รู้ไม่เห็น ที่ร้านขายของชำในแถบสลัม มีโต๊ะขายเหล้าต้มเอง จากมันฝรั่งใส่ขวดโหลตั้งอยู่สองสามโหล มีชายชาวบ้านเสื้อผ้าสกปรกนั่งดื่มเหล้าขาวอยู่ 2-3 คน พูดกันเบา ๆ
ขณะที่เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยกลางคน มิเชิล แฟร้งค์ กำลังนั่งถักนิตติ้งอยู่ นางเหลือบตามองมาที่โต๊ะบ่อยครั้ง วันนี้นางขายของดีเป็นพิเศษ ส่วนมากจะขายไข่ไก่ มันฝรั่งลูกเล็ก ๆ และปลาคอดตากแห้งที่เต็มไปด้วยเกลือ หมูแฮมแข็งกระด้าง ชาวบ้านยากจน ต้องซื้อไข่ทีละฟอง ส่วนปลาเค็มขายเป็นตัว
“สวัสดีที่รัก”
เสียงสามีนางส่งเสียงทักทายและเดินเข้ามาในร้าน และมีชายแปลกหน้าเดินตามเข้ามาใส่เสื้อสีดำ ชายสามคนที่นั่งโต๊ะมองมาที่สามีนางมิเชิล
“นี่แซม ผมพบแซม ขณะเดินทางกลับมาที่ร้าน” สามีนางมิเชิลเอ่ยปากบอก ภรรยา
หลังจากนั้น นางมิเชิล ได้เดินไปหลังร้านและบอกสามีนางกับแซมให้เข้าไปในหลังร้านเพื่อกินข้าว ขณะที่ชายสามคนที่ กินเหล้าอยู่หน้าร้านก็ทยอยลุกเดินจากไปทีละคน และนางมิเชิลก็บอกสามีว่า “คุณกินข้าวมายัง” “เรียบร้อยแล้ว” สามีนางบอก ถ้ากินแล้วจะไปปิดร้านและฉันจะนำไปยังสถานที่ที่เราคุยกัน หลังจากนางปิดร้าน นางพร้อมกับสามีของนางและแซมได้เดินทางลัดเลาะผ่านย่านสลัม มีหลายคนมองมาและก็ไม่ได้สนใจนางนำเดินไปยังชายป่าที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร เดินทางเข้าไปในป่าเห็นโบสถ์ทิ้งร้างตั้งอยู่โดดเดี่ยวในราวป่า นางมิเชิล เดินนำหน้าลัดเลาะไปยังหลังโบสถ์ร้างซึ่งเป็นอาคารสูงมีบันไดสูงชันนำไปสู่ห้องหนึ่งที่ปิดสนิท
ชายสามคนที่นั่งกินเหล้าอยู่ ได้มารออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งสามคนพูดคุยกันเบา ๆ ด้วยสำเนียงฝรั่งเศสของชนชั้นแรงงาน เหมือนกับพวกค๊อกนี่ในลอนดอนที่พูดภาษาอังกฤษสำหรับชนชั้นแรงงาน ที่เป็นสำเนียงที่ฟังยาก ตอนนี้พวกเรามาครบทุกคนแล้ว ทั้งกอสเซียนี่ ที่ หนึ่ง สอง สาม นางมิเชิล พูดขึ้น ที่นี้ขอให้ แซมได้เล่าเรื่องให้พวกเราฟังหน่อย กอสเซียนี่เป็นรหัสลับที่ขบวนการ ฟรีเมสันใช้เรียกขานกัน ในการเตรียมตัวปฏิวัติล้มล้างระบอบการปกครองฝรั่งเศส
“ผมพบบาร์ตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาซ่อนตัวอยู่ใต้รถม้าของมากีย์ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องฆ่ามากีย์ด้วยมีดด้วย น่าจะฆ่าด้วยยาพิษมันจะแนบเนียนกว่า ให้ตายอย่างไร้ร่องรอยดีกว่าจะฆ่าด้วยมีด “แกพบเขาอีกไหมหลังจากนั้น”
กอสเซียนี่หมายเลขสามได้เอ่ยปากถาม “พบกันอีกครั้ง ที่นอกเมืองปารีสตอนนั้นเขาถูกทหารจับตัวได้ พ่อบ้านของมากีย์สอบสวนจนค้นพบไส้ศึกที่เราส่งไปแฝงตัวอยู่ในปราสาทของมากีย์ ไส้ศึกถูกทรมานให้สารภาพและพ่อบ้านได้เอาไม้เหลาแหลมเสียบทวารหนักให้ไม้ทะลุออกปาก”
“ผมได้ยินว่าบาร์ตจะต้องถูกประหารด้วยเครื่องกิโยตินเพราะราชสำนักทราบข่าวว่ามากีย์ถูกลอบฆ่า ราชสำนักส่งตำรวจเข้ามาทำคดี ทำให้พ่อบ้านไม่สามารถฆ่าบาร์ตด้วยตัวเองได้ เพราะเกรงจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์กษัตริย์ จึงต้องปล่อยให้ตำรวจปารีส สอบสวนและนำขึ้นศาล ถ้าทำผิดจริงจะต้องถูกประหารที่ศาลากลางเมือง ปารีส ฐานฆ่าขุนนาง
ผมถึงต้องมาบอกพวกเราให้ระวังตัว “โอ้พระเจ้าช่วยช่างโหดเหี้ยมเสียจริง” เสียงอุทานของนางมิเชิล พร้อมกับขนแขนของนางลุกชัน เมื่อได้ยินว่าจารชนที่แฝงตัวอยู่ในปราสาทของมากีย์ถูกไม้เสียบประจาน
กอสเซียนี่ที่สามได้เอ่ยปากเล่าตำนานวลาสจอมเสียบให้ขบวนการลับฟรีเมนสันฟัง “ไม่แปลกในอดีตก็มีการทรมานเชลยอย่างนี้ แต่ไม่นึกว่าจะเกิดในสมัยนี้อีก พ่อบ้านของขุนนางโฉดมากีย์รู้จักทรมาณเชลยนัก ในอดีต เจ้าชายวลาตที่ 3 (Vlad The Impaler) แห่งแคว้นวาลาเดีย ใน ค.ศ. 1460 พระองค์ได้ลงโทษอย่างโหดร้ายต่อศัตรูของพระองค์ ด้วยการเสียบทรมาณเชลยที่จับได้ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยม เอาไม้แหลมมาเสียบทะลุเชลยที่จับได้จากทวารหนักถึงปากจะเสียบประจานไว้ตามทุ่งหญ้ากว้าง ครั้งหนึ่งพระองค์เสียบเชลยศึก ประมาณ 30,000 คน ศพเรียงรายทั่วท้องทุ่ง ครั้งแรกก็ไม้เหลาแหลมเชลยตายทันที แต่ซาดิสม์ไม่พอ พระองค์ให้เหลาไม้ทื่อ ๆ เพื่อให้เชลยทรมาน ตายช้า ๆ เพราะเจ็บปวดและถูกแดดเผา จนเชลยเสียชีวิตในที่สุด”
“ตกลงพวกเราจะใส่บัญชีดำพ่อบ้านของมากีย์ไหม” กอสเซียนี่ที่สองถามความคิดเห็นของที่ประชุม
“ควรจะเป็นอย่างนั้นเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนของเรา เราจะจดบัญชีไว้”
“ถ้าตำรวจปารีส มาค้นและเจอหลักฐานพวกเราจะตกอยู่ในอันตรายหรือ”
กอสเซียนี่ที่หนึ่งถามสามีของนางมิเชิล “ไม่เป็นไรปลอดภัยเพราะนางไม่เคยจดชื่อคนไว้ในบัญชี นางจะถักนิตติ้งเป็นสัญลักษณ์ เป็นลวดลายที่นางรู้เพียงคนเดียว
************************************
กัปตันพายเรือไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ เรือเข้าถึงฝั่ง และลากเรือบดขึ้นบนฝั่ง แล้วเดินเข้าไปในเกาะ เกาะนี้เป็นเกาะหลงสำรวจสภาพยังเป็นป่าดิบเสียงนกป่าส่งเสียงร้องดังก้องป่า เดินไปได้สักพักเสียงนกตกใจบินขึ้นสู่ท้องฟ้า กัปตันเซเลเยอร์ รู้สึกมีลางสังหรณ์ว่าคงมีอันตรายแน่นอน มือก็กระชับดาบไว้แน่น สายตาสอดส่องไป รอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร ค่อยเดิน ๆ ช้า ๆ อย่างระแวดระวัง ทันใดนั้นก็มีอะไรมาพันที่ขา กัปตันก้มลงมอง เห็นเถาวัลย์รัดที่ขาและตัวกัปตันก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ หัวห้อยแกว่งไปมา ดาบหลุดจากมือ
กัปตันเจอกับดักของคนป่า พร้อมกับมีกลุ่มชายฉกรรจ์ เป็นชาวป่าลุกจากที่ซ่อนจำนวนนับสิบคนมือถือหอก และที่เป่าลูกดอก ใบหน้าเขียนสีพรางพร้อมกับส่งเสียงที่กัปตันฟังไม่เข้าใจ