บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 ตอนที่ (054)

บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 54)

.

 

โซฟีได้เดินทางด่วนเข้ามาที่กรุงปารีสเมื่อได้รับจดหมายจากพิราบสื่อสาร เพื่อรวมประชุมด่วนที่บ้านของแซงต์ จูสต์ ขณะเดียวกันกัน โรเบสปิแยร์ก็ได้รับจดหมายเรียกประชุมจากพิราบสื่อสารก็รีบเดินทางมาที่ปารีสด้วย

หลังจากสามวันผ่านไป ทั้งโซฟีและโรเบสปิแยร์ได้เดินทางถึงปารีส ขณะเดียวกันแลงมาเซย์ ผู้จัดการบาร์อโกโก้ได้เดินทาง เข้ามายังเมืองมาเซย์เพื่อส่งไปรษณีย์แจ้งข่าวร้ายให้ปิแอร์และ  บักเคนได้ทราบที่เมืองอาราสบ้านของปิแอร์ ก่อนออกเดินทาง    บุรุษไปรษณีย์ได้นำจดหมายที่ส่งถึงปิแอร์และบักเคนมามอบให้  โรเบสปิแยร์ เมื่อได้รับจดหมายจ่าหน้าซองถึงบุตรชายและบักเคนเพื่อนของบุตรชายได้นำจดหมายติดตัวไปมอบให้ปิแอร์และบักเคนด้วยแต่ตนเองก็ได้รับจดหมายเรียกประชุมที่สภาฐานันดรที่ปารีสในวันเดียวกันและต้องการทราบความคืบหน้าของราชสำนักและชนชั้นสูงจะดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ จึงได้ฝากจดหมายกับคนขับรถม้าเอาไปให้บุตรชายและบักเคน

ในห้องประชุมลับที่บ้านของ แซง จูสต์ หลังจากระดับผู้บริหารมาประชุมกันครบ ประกอบด้วย โซฟี ปิแอร์ และบักเคน          ที่ถือเป็นสมาชิกสมทบกิตติมศักดิ์และระดับหัวหน้าหน่วยอีก 3 คน ขาดแต่ โรแบสปิแยร์ไม่ได้เข้าประชุม เพราะวันนี้สภาฐานันดรได้มีวาระการประชุม เนื่องจากโรแบสปิแยร์ว่าความให้มนุษย์ล่อฟ้า รอดจากการถูกแขวนคอ จนโด่งดังทั่วประเทศทำให้ได้รับ                การเสนอชื่อเป็นสมาชิกสภาฐานันดรในฐานะตัวแทนที่สาม

ก่อนเข้าประชุมคนขับรถม้าได้มอบจดหมายให้ปิแอร์และ   บักเคน ทั้งสองคนได้เปิดอ่านจดหมายแล้วก็เสียใจที่กัปตันได้มาจบชีวิตก่อนวัยอันสมควร บักเคนได้บอกกับปิแอร์ว่า

“ผมได้อโหสิกรรมให้กับกัปตันในเรื่องเพชรบลูไดมอนด์” ปิแอร์ก็พูดตอบบักเคน

“ผมก็เสียใจและจะทำตามคำสั่งเสียของกัปตัน คุณเคนถ้าคุณไม่ไปอยู่ที่บาร์อโกโก้กับแลงมาเซย์ก็มาอยู่กับผมก็ได้ หลังจากเรื่องราวในประเทศมันสงบลง ผมว่าจะไปเที่ยวไอร์แลนด์และ  จะแนะนำให้รู้จักเพื่อนที่สนิทกันมากของผมทีโอบาลด์ วูล์ฟ    ที่ดับลิน”

บักเคนได้ถามปิแอร์ “แล้วคุณปิแอร์รู้จัก คุณวูล์ฟ ได้อย่างไร” 

ปิแอร์ได้เล่าให้ฟังว่า “เรือของกัปตันได้แวะที่เมืองท่าดับลินไอร์แลนด์ กัปตันชวนผมและลูกเรืออีกสองคนไปกินเหล้าที่ผับหน้าท่าเรือ แล้ว วูล์ฟได้เดินมาทักทายขอชนแก้วและนั่งคุยด้วย ซึ่งวูล์ฟได้คุยว่าจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยทรินิตี้ที่ดับลินและกำลังจะสอบเป็นพนักงานอัยการ ซึ่งวูล์ฟคุยสนุกพวกเราคุยกันหลายเรื่องสุดท้ายวูล์ฟชวนกัปตันไปเที่ยวซ่องแถวถนนแกรฟตัน ส่วนผมขอกลับไปที่เรือ

เมื่อได้เวลาประชุม แซง จูสต์ ได้รายงานถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ว่า

“พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้ทรงเรียกประชุมและได้แก้ไขกฎระเบียบใหม่ เพื่อลดปัญหาความไม่พอใจของคนรากหญ้า  ด้วยการเพิ่มสัดส่วนผู้แทนในสภาฐานันดร ประกอบด้วยฐานันดร        ที่หนึ่ง ตัวแทนศาสนจักร จำนวน 291 คน ฐานันดรที่สอง ตัวแทนจากขุนนางชั้นสูง จำนวน 270 คน และตัวแทนฐานันดรที่สาม  พวกรากหญ้า (Slumdogs) อีก 578 คน รวมผู้แทน 1,139 คน โดยมีระเบียบการต่างกายในการเข้าประชุม ดังนี้ พวกฐานันดรที่สาม แต่งชุดดำ ฐานันดรที่สอง ชุดดำแต่แขนเสื้อมีดิ้นทองและสวมหมวกขนนก ฐานันดรที่หนึ่ง (ศาสนจักร) แต่งกายตามสมณศักดิ์ ในรูปแบบศาสนจักร ซึ่งทางราชสำนักได้ออกระเบียบนี้มา เพื่อให้จำแนกตัวแทนชนชั้นได้ชัดเจน เพราะผู้แทนมันเยอะ ถ้าใส่ชุดเหมือนกัน จะไม่สามารถแยกได้ชัดเจน และให้มีการนับคะแนนแบบเดิม คือ ฐานันดรละหนึ่งเสียง ซึ่งเรืองประชุมต้องรอโรแบส ปิแยร์ เล่าให้ฟัง

แซง จูสต์ กล่าวว่า “ที่เรียกประชุมด่วน เพราะสถานการณ์บ้านเมืองกำลังส่อเค้าวุ่นวาย เราจะรอให้ผลแอบปริคอตมันสุก         แล้วร่วงหล่นมาเองไม่ได้ พวกเราต้องเขย่าต้นเพื่อให้ผลแอลปริคอตมันหล่นให้เร็วขึ้นกว่ากำหนด จึงได้เรียกพวกท่านมาประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการดำเนินงาน เรื่องใหญ่อีกเรื่อง คืองบประมาณในการเคลื่อนไหว ไม่สามารถระดมทุนจากชาวบ้านได้มากนัก เพราะชาวบ้านเจอภัยแล้ง ภัยหนาว ผลผลิตตกต่ำ   จากลูกเห็บ ไม่มีทุนทรัพย์จะบริจาคให้สมาคมเคลื่อนไหว และเงินทุนจากสหรัฐอเมริกาที่พวกเราไประดมทุนก็ได้มาพอสมควร แต่ยังขาดอีกจำนวนมากเพราะสมาคมต้องใช้เงินจำนวนมาก             จ้างโรงพิมพ์ให้พิมพ์ใบปลิวและโปสเตอร์ และต้องจ่ายค่าจ้างม๊อบบางส่วนให้เดินขบวนตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อเรียกร้องจาก   ราชสำนัก ใครมีอะไรจะเสนอไหม”

          โซฟีได้เสนอว่า “ควรจะให้สมาชิกสมาคมไปขอรับ การสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ ในยุโรป” ส่วนปิแอร์ได้ยกมือขอเสนอความเห็น

“อดีตเจ้านายผมผู้เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายได้ยกมรดกให้สมาคมเรา สี่หมื่นห้าพันฟรังก์ ทองคำอีก 50 แห่ง”

ทุกคนในที่ประชุม ส่งเสียงฮือฮาและไตร่ถามปิแอร์กันเซ็งแซ่ว่าเจ้านายของปิแอร์ที่ใจดีมอบเงินมหาศาลให้ชื่ออะไร ทำไมถึงมีเงินมากมายมหาศาล สามารถบริจาคให้สมาคมได้” ปิแอร์ได้เล่าให้ที่ประชุมฟังว่า “อดีตเจ้านายตนชื่อ กัปตันจอนห์นี่ เซเลเยอร์  นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่และเจ้าของกิจการบาร์อโกโก้แห่งแรกของฝรั่งเศสได้ตัดสินใจมอบเงินและทองดังกล่าวให้สมาคม เพราะก่อนกัปตันตายได้บอกตนเองว่า ตัวกัปตันอยากจะเป็นสมาชิกสมาคมในอนาคต เพราะตอนนี้ยังไม่พร้อม แต่ยินดีให้การสนับสนุนแต่กัปตันต้องมาผูกคอตายเพราะความรักในสร้อยเพชร   บลูไดมอนด์” ที่ประชุมยิ่งส่งเสียงฮือฮาดังยิ่งกว่าเก่า ส่วนแซง จูสต์ ที่นั่งถึงกับอ้าปากหวอตกตะลึงในเรื่องเล่าไม่นึกว่ามันจะมีจริงเรื่องสร้อยเพชรบลูไดมอนด์ 

“ก็นับเป็นโชคดีของสมาคมที่ได้รับการบริจาคจากกัปตัน ที่ล่วงลับไปแล้ว ทางสมาคมจะนำเงินบริจาคไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของกัปตัน” แซง จูสต์ ได้บอกที่ประชุม และบักเคนได้ยกมือขึ้นเพื่อขอพูด

“เอ้าเชิญ คุณเคน”

 

“ขอประทานโทษครับ ผมเคนเพื่อนของกัปตัน ผมศรัทธา  ในอุดมการณ์ของสมาคมที่ต้องการปลดปล่อยเสรีภาพให้แก่ประชาชนชาวฝรั่งเศส ผมขอมอบเพชรให้หนึ่งเม็ดเพื่อที่สมาคม          จะได้มีเงินทุนในการเคลื่อนไหวการจ้างม๊อบ

You may also like...