บักเคนทะลุมิติภาค 1 (ตอนที่70)
by admin · สิงหาคม 10, 2020

บักเคนทะลุมิติภาค 1 (ตอนที่70)
.
ที่ตลาดขายปลาชานกรุงปารีส
โซฟีได้หยิบเอาใบปลิวสมาคมจาโกแบงส์ ที่แจกไปทั่วประเทศมาอ่าน และถามบักเคน
“คุณเคนคะ มีความคิดเห็นอย่างไรกับใบปลิวของสมาคม จาโกแบงส์
เกี่ยวกับแนวคิดที่ต้องการล้มระบอบกษัตริย์ ล้มล้างระบบขุนนาง
โดยเนื้อคำประกาศของสมาคม จาโกแบงส์ เขียนไว้ดังนี้ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้น
โดยนับตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน เช่น 1.ทาสกับนาย ไพร่กับผู้ดี
นายจ้างกับลูกจ้าง โดยจะมีคนหนึ่งเป็นผู้ข่มเหง และอีกคนหนึ่งเป็นผู้ถูกข่มเหง
2.โลกของนายทุน ในโลกปัจจุบันเกิดชนชั้นใหม่ที่มีบทบาทในสังคมมาก ได้แก่ พวกนายทุน
นายทุนเอาเปรียบชนชั้นแรงงานทุกวิถีทาง
อำนาจของนายทุนคืออำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยกษัตริย์และผู้ปกครองก็อยู่ภายใต้อิทธิพลนายทุนด้วย
3.พวกนายทุนทั้งหลายมักเรียกร้องเสรีภาพ เช่น การค้าขายอย่างเสรี การแข่งขันเสรี
แต่แท้จริงแล้วเป็นการเรียกร้องให้ตัวเองเอาเปรียบผู้อื่น
4.นายทุนเป็นพวกไร้ศีลธรรม มองเห็นความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเพียงการสะสมเงินทอง ส่วนคุณค่าทางจิตใจความเมตตาปรานีหรือมนุษยธรรมแทบจะไม่มีอยู่ในสำนึกของนายทุน
5.ชนชั้นกรรมาชีพจะชนะนายทุนในที่สุด ในตอนแรกสังคมอาจมีหลายชนชั้น
แต่สุดท้ายจะเหลือเพียงนายทุน และ กรรมาชีพ ซึ่งจะถูกนายทุนข่มเหงตลอดเวลา
จนต้องรวมตัวเป็นสหภาพกรรมกร และกลายมาเป็นพรรคการเมือง จนมีอำนาจเอาชนะนายทุนได้
6.ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว ลักษณะที่สำคัญที่สุดของระบอบคอมมิวนิสต์ คือ
การล้มล้างทรัพย์สินส่วนตัว เพราะสิ่งนี้คือ สัญลักษณ์แห่งความเห็นแก่ตัวของนายทุน”
บักเคนได้หยิบใบปลิวมาอ่านสักพักก็ได้ตอบโซฟีว่า“นี่มันอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ชัด ๆ เลย”
“คุณเคนว่าอะไรนะ อะไรคือคอมมิวนิสต์” โซฟีทำสีหน้าสงสัย
บักเคนได้อธิบายให้โซฟีฟังว่า
“ระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นระบอบการปกครองที่จะเกิดขึ้นในยุโรปเร็ว
ๆ นี้ ตนเองบอกได้แค่นี้ เพราะเป็นลิขิตสวรรค์”
“ช่างมันเหอะ ระบบคอมมิวนิสต์อ่านดูก็ดีนะ
แล้วเมื่อไหร่ฝรั่งเศสถึงจะเป็นคอมมิวนิสต์ คุณเคนทราบไหมคะ” โซฟีพยายามอ้อนถามบักเคน
บักเคนได้แต่เงียบ
“ช่างเหอะ ใครก็ตามที่คิดจะปกครองหรือควบคุมตัวฉัน
บุคคลผู้นั้นถ้าหากไม่ใช่ผู้กดขี่ ก็คือทรราชย์นั่นเอง” โซฟีได้พูดขึ้นลอย
ๆ ให้บักเคนได้ยิน
รุ่งเช้า ควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยอ้อยอิ่ง
ขึ้นสู่ท้องฟ้า หลังจากแผ่นดินไหวสงบลง ที่พระราชวัง ตุล์เยรีส์ (Tuilleries)
เงียบสงบหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อคืน
คนดูแลห้องบรรทมของพระเจ้าหลุยส์ได้หลบหนีกลับไปดูเหตุการณ์ที่บ้านช่วงแผ่นดินไหวและกับมาตอนเช้าเพื่อปลุกพระเจ้าหลุยส์
เปิดประตูไม่พบพระเจ้าหลุยส์
กับเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด คนดูแล รีบเดินทางไปแจ้งข่าวให้
ลาฟาแยต ได้ทราบข่าว
“มีข่าวด่วนจะรายงานครับ” ท่านลาฟาแยต
ซึ่งพึ่งเข้านอนหลังจากไปตรวจดูเหตุการณ์แผ่นดินไหว
“มีอะไรว่ามา” “พระเจ้าหลุยส์ กับเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดหลบหนีไปแล้วครับท่าน”
คนดูแลห้องบรรทมรายงาน
“อะไรนะ พระเจ้าหลุยส์กับเชื้อพระวงศ์ หนีไปหมดแล้ว
ใครเป็นทหารยามเมื่อคืน เรียกมาสอบสวนแล้วก็เจ้าทำไมไม่อยู่เฝ้า” เสียงตวาดของ ลาฟาแยต ใส่หน้าคนดูแลห้องบรรทมของพระเจ้าหลุยส์
ทำให้สีหน้าของคนดูแลซีดเผือด
ลาฟาแยต ได้สั่งให้ทหารรีบไปหาข่าวว่าพระเจ้าหลุยส์หลบหนีไปทิศทางใด
รถม้าโดยสารที่พระเจ้าหลุยส์
หลังจากวิ่งออกจากกรุงปารีส ได้วิ่งถึงเมือง ชาลง อ็อง ซ็อง ปาญ (Chalons-En
Champagne)รถม้าได้เดินทางต่อไปเรื่อย
ๆ มาถึงเมือง แซ็งต์ เมอเนฮูลด์ (Sainte Menehould) รถม้าที่นายดูร็อง
นั่งอยู่ข้างหน้าข้างคนขับ ทหารยามที่เฝ้าประตูเมือง
เคยประจำการที่พระราชวังแวร์ซายส์ จำได้ว่า คนนั่งข้างรถม้า คือพระเจ้าหลุยส์
ทหารยามที่เฝ้าเมืองจำพระเจ้าหลุยส์ ได้ ก็ทักทายเป็นปรกติ และถามว่า
“ท่านชื่ออะไร จะเดินทางไปไหน” พระเจ้าหลุยส์หรือนาย ดูร็อง ได้ตอบว่า
“ข้าชื่อดูร็อง กำลังเดินทางกับนายของข้าไปออสเตรีย” ทหารยามก็ได้พยักหน้าและพูดว่า
“ก็ขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัยนะท่าน โชคดี” แล้วทหารยามที่เฝ้าเมืองก็ปล่อยรถม้าของพระเจ้าหลุยส์
เดินทางเข้าไปในตัวเมืองโดยไม่ตรวจค้น
หลังจากเข้าตัวเมือง เมืองแซ็งต์ เมอเนฮูลด์ (Sainte
Menehould) ในมณฑล ช็องปาญ ชาวบ้านเขตนี้เคยประทับใจ พระเจ้าหลุยส์
เมื่อครั้งเดินทางไปสู่ขอพระนางมารี อังตัวเนต พระเจ้าหลุยส์
ได้พำนักที่เมืองนี้สองคืน ได้จัดเลี้ยงฉลองให้กับชาวเมือง
และสั่งให้ข้าราชการท้องถิ่นดูแลชาวเมือง ยกเว้นภาษี ให้สามปี
เพื่อเป็นของขวัญแต่งงานระหว่างพระองค์กับพระนาง มารี อังตัวเนต
พร้อมกับบูรณะศาลากลางเมืองให้กับเมือง แซ็งต์ เมอเนฮูลด์ (Sainte
Menehould) เป็นอนุสรณ์ว่าพระองค์เคยมาพำนักที่เมืองนี้
และในวันนี้พระองค์ได้มาพำนักอีกครั้งแต่ไม่ได้มาในฐานะองค์กษัตริย์อันยิ่งใหญ่
แต่เป็นนักโทษการเมืองที่หลบหนีการกักกันของคณะปฏิวัติ
หลังจาก
ลาฟาแยตได้สั่งทหารให้ติดตามพระเจ้าหลุยส์
พร้อมกับเชื้อพระวงศ์ที่หลบหนีจากพระราชวังตุล์เยรีส์ (Tuilleries) ได้เดินทางถึงเมือง แซ็งต์ เมอเนฮูลด์ (Sainte Menehould) ชาวเมืองได้กักตัวทหารที่ติดตามพระเจ้าหลุยส์เอาไว้
พร้อมปลดอาวุธและกักตัวไว้เพื่อมิให้ส่งข่าวไปยังปารีส และได้แจ้งข่าวร้ายให้กับ พระเจ้าหลุยส์ ให้รีบออกเดินทาง
เพราะทหารทางการได้ติดตามมาถึงแล้ว พระเจ้าหลุยส์ กับพระนางมารี อังตัวเนต
ถึงกับน้ำตาซึมถึงความจงรักภักดีของชาวเมือง
พระเจ้าหลุยส์ หรือนายดูร็อง
กล่าวขอบใจชาวเมืองว่า “ข้าและพระนางมารี อังตัวเนต ขอขอบใจชาวเมืองทุกคน
ที่รักและห่วงใยข้าพระมเหสีและเชื้อพระวงศ์ทุกคน น้ำใจของชาวเมืองที่มอบให้ข้า
ขอจดจำไว้มิรู้ลืม วันใดที่มีโอกาสหวนคืนสู่ราชบังลังค์
ข้าจะกลับมายังเมืองนี้อีกครั้ง เมืองที่เต็มไปด้วยน้ำใจและความห่วงหาอาทร”
จบคำพูดกล่าวอำลาของพระเจ้าหลุยส์
ชาวเมืองหลายคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ถึงกับร้องไห้โฮออกมา
ด้วยความสงสารพระเจ้าหลุยส์ และเชื้อพระวงศ์ โดยมีบารงเดอเบรอเตย และ แฟรเซน
ยืนเอามือเช็ดน้ำตาด้วยความสงสารพระเจ้าหลุยส์
แฟรเซน
ได้กล่าวกับพระเจ้าหลุยส์ว่า “ได้เวลารีบออกเดินทางกันดีกว่า
หนทางยังอีกไกล เราต้องแข่งกับเวลาพะยะค่ะ
ออกเดินทางไวก็ห่างความตายได้อีกนิดพะยะค่ะ”
พระเจ้าหลุยส์
พระนางมารี อังตัวเนต ได้เดินทางขึ้นรถม้า โดยมีนายดูร็องนั่ งอยู่ข้างสารถี
รถม้าก็ได้เคลื่อนจากตัวเมืองแซ็งต์ เมอเนฮูลด์
ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ระงมของชาวเมือง ที่สงสาร องค์กษัตริย์อันเป็นที่รักและภักดีของชาวเมือง
แม้คนเกือบ ทั้งประเทศจะจงเกลียดจงชังก็ตาม
โดยไม่ได้สัมผัสอีกด้านหนึ่งของพระองค์ เพียงแต่ได้ยินข่าวลือ ใบปลิว โจมตี
ชาวบ้านทั่วไปพร้อมที่จะเชื่อตามข่าวลือและใบปลิว
ทำไมนะสังคมถึงเชื่อข่าวลือและใบปลิวมากกว่าจะสัมผัสข้อเท็จจริง การพูดจา
เขียนโจมตีคน โดยที่เขาไม่รู้เรื่อง ข่าวลือบางครั้งแค่ได้ยิน ก็เพิ่มความรุนแรงของข่าวและกระจายข่าวจงเกลียดจงชังเพิ่มมากขึ้น
ข่าวลือช่างทำร้ายคนแสนสาหัสนัก