บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 030)
by admin · สิงหาคม 9, 2020
บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 30)
“ลดความเร็วเรือ ดึงใบลง” เสียงกัปตันร้องบอกลูกเรือ
บักเคนเซไปพิงข้างเสาเรือหลังจากเรือชนหินโสโครก
“จะเป็นอย่างไรบ้าง เรือจะจมไหม” บักเคนถามปิแอร์
“ไม่มีอะไร เดี๋ยวกัปตันคงจะสั่งให้หยุดซ่อมเรือ”
จอห์นโดดลงน้ำไปดูซิเรือรั่วมากไหม พอจะไปต่อได้ไหม” เสียงกัปตันร้องบอกลูกเรือให้โดดลงน้ำไปดูรอยรั่ว
“รอยแตกพอสมควรครับ”
เสียงลูกเรือบอกกัปตัน “ลงไปข้างล่างแล้วเอายาชันไปอุด รอยรั่วชั่วคราว เราจะหาเกาะที่ใกล้ที่สุดเพื่อซ่อมเรือ คิดว่าจะใช้เวลาซ่อมนานไหม”
เสียงกัปตันถามลูกเรือที่เอายาชันไปอุดรอยรั่ว “ประมาณ 2-3 วันครับ” ลูกเรือบอกกัปตันเรือค่อยลอยช้า ๆ เพื่อหาเกาะที่ใกล้ที่สุด เพราะไม่กล้าแล่นเร็วเรือบรรทุกสินค้าและมีรอยรั่วถ้าเกิดเจอหินโสโครกอีก เรืออาจจม
เวลาผ่านไปพอสมควร “กัปตันมีเกาะอยู่ข้างหน้าครับ” เสียงเวรบนเสากระโดงเรือร้องบอกกัปตัน
“เอาเรือตรงไปที่เกาะ” กัปตันร้องบอกลูกเรือ
เรือค่อยแล่นไปช้า ๆ ห่างจากเกาะพอสมควร เพราะต้องดูน้ำขึ้นน้ำลงกลัวเรือเกยตื้น กัปตันได้บอกให้ลูกเรือไปเตรียมอุปกรณ์ซ่อมแซมเรือ และสั่งให้ลูกเรือทุกคนที่ไม่มีหน้าที่ซ่อมแซมเรือ ให้อยู่บนเรือ ห้ามนำเรือบดออกไปที่เกาะ ให้เตรียมอาวุธให้พร้อม ระวังโจรสลัด ผลัดเปลี่ยนเวรยาม ส่วนกัปตันจะเดินทางไปที่เกาะเพื่อสำรวจหาแหล่งน้ำจืด ถ้าพบแล้วจะให้ลูกเรือที่เหลือไปนำน้ำจืดมาสำรองไว้ และเตรียมหาผัก ผลไม้พอกินได้มาสำรองไว้ เพราะผลไม้ ผักบนเรือมีกินอยู่ได้เพียง 1 สัปดาห์ ตามกำหนดการเรือจะต้องแวะที่สถานีการค้าเล็ก ๆ ของโปรตุเกส ในระหว่างเดินทางกลับฝรั่งเศส แต่มาเกิดเหตุการณ์เรือชนหินโสโครกเสียก่อน
“เอาแผนที่มาดูซิ เกาะแห่งนี้ชื่ออะไร” ลูกเรือได้เอาแผนที่เดินเรือมาให้กัปตันและกัปตันจอห์นนี่ได้ดูแผนที่ ซึ่งเกาะแห่งนี้ ไม่มีบันทึกในแผนที่เดินเรือ เป็นเกาะหลงสำรวจ ไม่มีใครเคยผ่านมาก่อน กัปตันก็คิดว่าน่าจะปลอดภัยสำหรับการซ่อมเรือบริเวณเกาะแห่งนี้ และได้บอกปิแอร์ให้เตรียมเรือบดลงน้ำ “เอาเรือบดลงน้ำข้าจะไปสำรวจเกาะ ส่วนเจ้าและคุณเคนอยู่บนเรือไม่ต้องไป ข้าจะไปสำรวจเกาะสัก 2 วัน ถ้าไม่เห็นข้ากลับมาภายใน 2 วัน ค่อยไปตาม”
กัปตันบอกปิแอร์ “มันจะดีหรือกัปตัน ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม มีอะไรก็จะได้ช่วยเหลือกันได้” ปิแอร์บอกกัปตัน
“ไม่ต้อง เจ้าเฝ้าเรือ ข้ามอบสิทธิ์ขาดให้เจ้า ลูกเรือคนไหนฝ่าฝืนก็จัดการลงโทษให้หนัก รักษาเรือให้ดีก็แล้วกัน กัปตันค่อย ๆ โรยตัวไปยังเรือบดและพายออกจากเรือใหญ่มุ่งสู่เกาะหลงสำรวจ เพียงลำพัง
ไม่ไกลจากย่าน ชอง กาลิเซ่ ของปารีส บรรยากาศสลัม ที่บ้านเรือนตั้งเรียงรายอย่างหนาแน่น ผู้คนอาศัยอยู่อย่างแออัด ยัดเยียด ประเทศฝรั่งเศสช่วงเวลานี้ประชากรมากที่สุดในยุโรป บรรยากาศทรุดโทรม เต็มไปด้วยฝุ่นละออง และความสกปรก ลมหนาวพัดพาเอาความหนาวเย็นเสียดกระดูก ผ่านย่านนี้ ความเจ็บป่วยของคนยากไร้ ผู้คนล้มตายราวกับใบไม้ร่วงจากความเจ็บป่วย ความหิวโหย ผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านนี้มีแต่ความโกรธแค้นต่อชนชั้นสูง คนร่ำรวยผู้ที่ไม่เคยเอาใจใส่คนยากไร้ทั้งหลาย ในฝรั่งเศส ย่านชอง กาลิเซ่ คือที่รวบรวมนักคิด ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาปรับทุกข์และหาทางทำให้คนยากไร้ทั่วประเทศได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสถานที่แออัดแห่งนี้ เป็นที่แฝงตัวของสมาคมลับฟรีเมสัน ที่อาศัยย่านคนจนปกปิดการดำเนินงานของสมาคม นับเป็นประเทศเดียวที่การดำเนินงานของสมาคมลับต้องอยู่ในชุมชนแออัด
ย่านชอง กาลิเซ่ แห่งนี้ ในอนาคตข้างหน้าก่อนปี พ.ศ. 2475 เป็นสถานที่ที่ปลูกฝังอุดมการณ์ให้นักเรียนหนุ่มไทยที่มาศึกษา ในประเทศฝรั่งเศส ได้ซึมซับแนวคิดสังคมนิยมและนำมาใช้ในเมืองไทยแต่ไม่ได้รับการยอมรับ“สมุดปกเหลือง” รวมถึงนักปฏิวัติหนุ่ม “สลาติน” ก็เคยมารับแนวคิดการเมืองที่ย่านแห่งนี้ รัสเซีย การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ของไทย และอีกหลายแห่งทั่วโลกมีจุดเริ่มต้นจากที่นี่
เสียงไก่ขันดังใกล้ย่ำรุ่ง และพระอาทิตย์ส่องแสง แต่บรรยากาศยามเช้ายังคงซึมเซา ผู้คนจำนวนมาก มานั่งผิงไฟเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้ไฟได้ขับไล่ความหนาวเย็น บางคนก็ยังไม่ได้นอนเพราะทนอากาศหนาวเย็นไม่ไหว ทุกคนนั่งเงียบ ๆ พยายามสงวนพลังงานให้มากที่สุด ไม่พูดคุยกัน ทุกคนสีหน้าอมทุกข์ ไม่รู้อนาคตว่าวันนี้จะมีอะไรตกถึงท้องบ้าง
ขณะที่คนรวยนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา หลับสบายอยู่บนปราสาท ตื่นมาอาหารพร้อมอยู่บนโต๊ะ เตรียมตัวไปสังสรรค์งานเลี้ยงยามราตรีที่บ้านขุนนาง รถม้าบรรทุกเหล้าไวน์ วิ่งผ่านย่านนี้เพื่อนำไวน์ชั้นดีไปส่งยังปราสาทของขุนนาง เพื่อจัดงานเลี้ยงในคืนนี้ ทันใด ถังไวน์หล่นจากรถม้ากระแทกกับก้อนหินแตก เหตุการณ์ที่ถังไวน์ตกกระแทกพื้นได้ปลุกความซึมเซาของคนที่นั่งผิงไฟ ทุกคนลุกขึ้นเกือบจะพร้อมกันและวิ่งไปยังที่ถังไวน์ตกกระแทกพื้นและไหลเจิ่งนองกับพื้น
ไวน์ที่ไหลจากถังได้ไหลรวมกันที่แอ่งเล็กแห่งนั้น ผู้คนพยายามคุกเข่าและแย่งกันก้มลงดื่มไวน์ แอ่งเล็ก ๆ แต่คนนับสิบเบียดเสียดกันเพื่อแย่งกันดื่มไวน์ บางคนยื่นมือเข้าไป เพื่อนำเศษผ้าเก่าลงไปจุ่มไวน์ในแอ่งเล็ก ๆ เกิดความโกลาหลไปทั่วย่านแห่งนี้ แม่เมื่อจุ่มเศษผ้าเก่าลงไปในแอ่งไวน์ได้ก็นำเศษผ้าที่ชุ่มไวน์ไปบิดให้ลูก ๆ ได้ดื่มไวน์ เพียงพริบตา ไวน์ในถังและในแอ่งก็ไม่มีเหลือ เหลือแต่เพียงคราบสีแดง ๆ
“โอ๊ว สวรรค์ทรงโปรด ข้าได้มีโอกาสลิ้มรสไวน์ชั้นดี ไม่รู้ชาตินี้จะมีโอกาสอีกครั้งไหม” “สวรรค์ทรงเมตตา” ผู้คนพึมพำ ถึงรสชาติไวน์ที่ตนเองได้ดื่ม
แม้จะดื่มไวน์จากพื้นดินก็ตาม ในขณะที่ชนชั้นสูงไวน์เหล่านี้ดื่มเป็นประจำ บรรยากาศเช้านี้กลับแตกต่างจากทุกวัน เสียงคนพูดคุยจ๊อกแจ๊กถึงความโชคดีของคนหลายคนได้ดื่มไวน์ที่ตกจากรถม้า หลายคนบ่นเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ดื่มไวน์ ขณะที่คนขับรถม้า เมื่อถังไวน์หล่นแตก ก็ได้บ่นพึมพำไม่ใช่ความผิดของตน แต่เป็นเหตุสุดวิสัย ที่ถนนแห่งนี้เป็นหลุม เป็นบ่อ ขาดงบประมาณซ่อมแซม เพราะงบประมาณถูกราชสำนักนำไปสะสมอาวุธและกำลังทหาร เพื่อทำสงครามศักดิ์ศรีกับอังกฤษอีกครั้ง และส่วนหนึ่งสำหรับงานเลี้ยงที่ราชสำนักจัดทุกสัปดาห์