บักเคนทะลุมิติภาค 1 (ตอนที่ 066)

บักเคนทะลุมิติภาค 1 (ตอนที่66)

โรแบสปิแยร์ อภิปรายในสภาร่างรัฐธรรมนูญได้กินใจ ทำให้ขุนนาง พระสงฆ์ ชนชั้นสูง พากันสละสิทธิ์ไม่ต้องเสียภาษี  เหรียญมีสองด้านฉันใด ผลกระทบในการสละสิทธิ์ไม่ต้องเสียภาษี ให้คนรากหญ้า ทาสของเจ้าของที่ดินก็ได้เป็นไท แม้เจ้าของที่ดินและขุนนางบางรายจะไม่ยินยอมก็ตาม แต่สู้กระแสสังคมไม่ได้ เพราะกลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่ดี เจ้าของที่ดิน ขุนนางจึงต้องการเป็นคนดีในสังคม วาทกรรมเรื่องคนดี การให้เสรีภาพ แก่คนรากหญ้า ทาส ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจประเทศฝรั่งเศสมากมายมหาศาล ส่วนศาสนจักรก็ยกเลิกการเก็บรายได้     จากชาวบ้าน โดยไม่ได้หาหนทางหารายได้มาชดเชยกับเงินที่เก็บเป็นประจำจากชาวบ้าน

ชาวบ้านรากหญ้า ทาส เมื่อเป็นไท แทนที่จะพอใจได้คืบก็เอาศอก ไม่ช่วยกันรักษาความสงบ ต่างพากันไม่เคารพกฎหมาย มีการล่าสัตว์ป่า ที่ชนชั้นสูงสงวนไว้ เพื่อเป็นกีฬา กับถูกชาวบ้าน  รากหญ้า อดีตทาสในที่ดิน ล่าสัตว์เกือบหมดป่า สัตว์หลายชนิดต้องสูญพันธ์ไปจากฝรั่งเศส รวมถึงเพิกเฉยไม่ชำระภาษีอากรให้กับรัฐ เหมือนเช่นในอดีตที่ชนชั้นสูงเก็บส่งรัฐบาล ชาวบ้านรากหญ้า          อดีตทาส ไม่เคารพกฎหมาย ไม่รักษาสัญญา ทำให้รัฐมนตรีคลัง  ไม่สามารถจัดเก็บรายได้ ทำให้งบประมาณของประเทศฝรั่งเศสขาดแคลน ขาดดุลงบประมาณมหาศาล ทำให้สภาร่างรัฐธรรมนูญต้องเปิดการประชุมเพื่อหาทางออกของประเทศก่อนที่ฐานะ              การคลังจะล้มละลายมากกว่านี้ ในที่ประชุมมีการถกเถียงกันมากมาย เหมือนกับตลาดสดยามเช้า

โรแบสปิแยร์ ได้เสนอให้สมาชิกผู้ทรงเกียรติ ศาสนจักร อุทิศรายได้ของตนหนึ่งในสี่เพื่อช่วยพยุงฐานะการคลังของประเทศ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายมิราโบ ได้ร้องตะโกนว่า

“ความวิบัติกำลังจะมาเยือนฝรั่งเศสแล้ว มันจะนำความพินาศมาสู่ตัวท่าน บ้านท่าน ครอบครัวของท่าน และทรัพย์สมบัติของท่านทุกคน ยังมัวจะถกเถียงกันอยู่หรือ” ผลการประชุมก็ไม่มีข้อสรุป ฐานะการคลังของประเทศก็ตกต่ำไปเรื่อย ๆ สิ้นปีประเทศฝรั่งเศสขาดดุลงบประมาณ เกือบ 100 ล้านแฟรงส์

          บรรยากาศยามเช้าที่ก้อนเมฆดำปกคลุมท้องฟ้าเหนือพระราชวัง ตุล์เยรีส์ (Tuilleries) พระเจ้าหลุยส์ นั่งอยู่เพียงเดียวดาย เหม่อมองออกไปนอกพระราชวัง เห็นแนชนัลการ์ด (National Guards) ยืนเฝ้ายามอย่างแข็งขัน พระองค์มือหนึ่งได้ถือนาฬิกา  ไขลานที่ทรงโปรด พระองค์กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมนาฬิกา                แต่จิตใจล่องลอยออกไปนอกพระราชวัง ตุล์เยรีส์ (Tuilleries) บัดนี้พระองค์ได้เป็นนักโทษทางการเมือง แต่ได้อภิสิทธิ์ไม่ถูกปลด จากตำแหน่ง แต่ไม่มีสิทธิเดินทางไปไหนมาไหน จิตใจของพระองค์ก็ทรงเศร้าหมอง พระเจ้าหลุยส์ ทรงรำพึงรำพันอยู่พระองค์เดียว

 “อำนาจ วาสนา เป็นสิ่งไม่จีรัง อดีตเป็นองค์ราชาอันยิ่งใหญ่ บัดนี้อำนาจอันยิ่งใหญ่ได้มลายหายไป เหลือไว้แต่ความทรงจำ อันปวดร้าว ยามเมื่อคิดถึง ทำไมนะข้าต้องการพัฒนาประเทศฝรั่งเศสให้ยิ่งใหญ่ในยุโรป ข้าทำเพื่อประเทศชาติ แต่ทุกคนกลับมองว่าข้าทำให้ประเทศชาติวิบัติ ตัวข้าเหมือนกับนาฬิกาแดดที่คอยบอกเวลาให้กับทุกคน”

“เมื่อทุกคนเก็บนาฬิกาแดดไว้ในร่มที่พระอาทิตย์ส่องไม่ถึง นาฬิกามันก็สูญเสียความหมาย ชีวิตคนเราบางครั้งก็ทำเรื่องโง่เขลา เราเก็บความสุขไว้ในอนาคต เพื่อจะเดินทางไปหามันในวันข้างหน้า ไม่ต่างอะไรกับการย้ายนาฬิกาแดดไปไว้ในร่ม เหมือนกับตัวข้า ที่ถูกย้ายมาขังไว้ในพระราชวังแห่งนี้ สักวัน คนทั้งมวล         จะขี้เกียจ เพราะไม่มีนาฬิกาแดดคอยบอกเวลา ความน่าเชื่อถือของบุคคลจะลดลง สักวันประเทศจะล่มสลาย”

          “เสด็จพี่ บ่นอะไรอยู่คนเดียว” พระนางมารี อังตัวเนต ได้เดินมายังที่นั่งของพระเจ้าหลุยส์ ริมหน้าต่าง

“ไม่มีอะไร พี่ก็บ่นไปตามประสาคนไม่มีอะไรทำ” พระเจ้าหลุยส์ ตรัสกับพระนางมารี อังตัวเนต

หลังจากที่สองพระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกขังอยู่ที่นี่ ชีวิตคู่ของพระเจ้าหลุยส์ กับพระนางมารี อังตัวเนต ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นมากกว่าสมัยที่พระองค์ยังเรืองอำนาจ พระนางมารี อังตัวเนต  ได้เอ่ยกับพระเจ้าหลุยส์ ว่า

“นับตั้งแต่เราอภิเษกสมรสกันมาชีวิตของหม่อมฉันเหมือนน้ำนิ่งในสระ หม่อมฉันเหนื่อยหน่ายกับชีวิตในราชสำนักน้อยครั้งจะได้มีโอกาสพูดคุยกับพระองค์ ทำให้หม่อมฉันได้นึกทบทวน      ดูชีวิตคู่ของหม่อมฉันกับพระองค์เปรียบเหมือนกับกระถางดอกไม้ ที่หม่อมฉันกับพระองค์ไม่รดน้ำ พรวนดิน ไม่สนใจเอาใจใส่ กระถางต้นไม้ไม่ได้รับแดด ไม่ได้ทำอะไรให้พระองค์ ไม่เคยห่วงใยพระองค์ ทำให้ชีวิตคู่ของเรามันช่างเหี่ยวเฉาเหมือนกับกระถางต้นไม้ที่ขาดการดูแล”

พระเจ้าหลุยส์ เมื่อได้ฟังพระนางมารี อังตัวเนตตรัสได้ลุกจากเก้าอี้และมาโอบกอดพระนางมารีอังตัวเนต ชีวิตคู่ของพระองค์ สุดท้ายพระองค์ก็เหลือเพียงพระนางมารี อังตัวเนต ที่เป็นคู่ชีวิต    ที่แท้จริงของพระองค์ ร่วมทุกข์ ร่วมสุขจนตราบวันสุดท้ายของชีวิต

          

You may also like...