บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 178)

บักเคนทะลุมิติ ภาค 1 (ตอนที่ 178)

“ผมฟังคุณอาดัมพูดมา มันแย้งกันเองไหม คุณอาดัมบอกว่าสังคมต้องมีคนรวยกับคนจน สังคมถึงอยู่ได้ แต่แล้วกับบอกว่าต้องสร้างให้คนเท่าเทียมกันกำจัดคนรวยออกไป ให้ทรัพย์สินเป็นของรัฐ” นโปเลียนถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ไม่แย้งครับท่าน สังคมที่แท้จริงไม่มีความเท่าเทียมกันในโลก ท่านลองยกมือขึ้นดูซิครับ นิ้วมือของท่านยาวเท่ากันไหม ในความเท่าเทียมกัน มันก็ยังมีคนที่เหนือกว่า ในสังคมที่ยึดทรัพย์คนรวยตกเป็นของรัฐ แต่คนที่มีอำนาจ มีอภิสิทธิคือชนชั้นปกครอง เพียงแต่จำกัดชนชั้นนายทุน นักบวชออกไปเท่านั้น” อาดัมอธิบายให้       นโปเลียนเข้าใจ

ท่านนโปเลียนเคยสังเกตคำสอนของนักบวชในศาสนาจักรหรือไม่ ในความคิดของผม พระเจ้านั้นคือผลงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ และคุณลักษณะต่างๆ ที่ผู้คนยกย่องพระเจ้านั้น แท้จริงแล้วเป็นคุณลักษณะของความเป็นมนุษย์นั่นเอง”         อาดัมอธิบายถึงศาสนาจักร

“แล้วคุณอาดัมจะบอกว่าระบบไหนที่ดีที่สุด” นโปเลียนถามด้วยความสงสัย

“ระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ทำให้ช่องว่างคนรวยกับคนจน ห่างกันน้อยที่สุด ต้องเน้นการอยู่อย่างพอเพียง ต้องพึ่งตนเองให้ได้ ไม่เน้นระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่คงจะทำยากเพราะสังคมให้ความสำคัญกับวัตถุ ยึดถือคนรวย มีทรัพย์สิน เป็นอภิสิทธิ์ชน คนรวยสามารถใช้เงินซื้อได้ทุกสิ่งแม้กระทั้งความยุติธรรม เพื่อให้ตนพ้นผิด ทำตัวเหนือกฎหมาย อาดัมอธิบายให้บักเคนเข้าใจ

“โอ คนรวยทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน เป็นอย่างนี้เกือบทั่วโลก หรือเปล่า” บักเคนถามด้วยความสงสัย

“ผมไม่ทราบ” อาดัมบอกกับบักเคน

“ผมเห็นคุณเคนสอบถามคุณอาดัมด้วยความสนใจ ทำให้ผมนึกได้ คำถาม  คุณเคนมันเป็นคำถามต่อเนื่อง ถ้าถามว่าทำไมน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทหาร    ถึงต้นตอปัญหาที่เกิดขึ้น” นโปเลียนสังเกตบักเคนถามอาดัมเลยเสนอความคิดขึ้นมา

“ก็จริงนะท่าน คำถามที่เริ่มถามด้วยทำไม ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องของแนวคิดการบริหารแบบ Six Sigma ซิกส์ ซิกม่า” บักเคนบอกกับนโปเลียน

“อะไรคุณเคน ซิกส์ ซิกม่า ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“ซิกส์ซิกมา เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการมองและหาทางแก้ปัญหา อันดับแรกต้อง ระบุปัญหาเพื่อจะทำการแก้ไข ผมจะยกตัวอย่างการเดินทัพในทะเลทราย ปัญหาคือการขาดแคลนน้ำดื่ม ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่สำคัญต่อกองทัพ ซึ่งท่านได้มอบหมายให้ทหารหน่วยหนึ่งไปขุดบ่อน้ำไว้ข้างหน้าแต่จำนวนทหารที่เดินทัพมากเกินไปแหล่งน้ำไม่พอเพียง ทหารที่เดินทัพตามหลัง เมื่อไปถึง น้ำดื่มที่ขุดบ่อก็แห้งหมดแล้ว ทหารที่ไปทีหลังก็ขาดแคลนน้ำดื่ม ซึ่งทีมงานบริหารของท่านก็ได้มีการวัดความสามารถในการแก้ไขปัญหาน้ำดื่ม ด้วยการให้นักวิทยาศาสตร์ทำการแก้ไขด้วยการวางแผนและดำเนินการทำกระจกแก้วแบบโค้งและเอาใบไม้มากองในหลุมเพื่อให้น้ำระเหยออกมา เพื่อแก้ไขปัญหา เมื่อได้รู้มีประสบการณ์ก็มาถ่ายทอดถอดเป็นบทเรียนของกองทัพในการเดินทัพในทะเลทราย” บักเคนอธิบายต่อไปว่า  “ส่วนขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่ม เพื่อระบุสาเหตุหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อปัญหานั้น ซึ่งเรียกสาเหตุหลักนี้ว่า KPIV (Key Process Input Variable) สาเหตุที่แท้จริง การขุดบ่อน้ำ จำนวนไม่มากพอที่จะรองรับทหารที่เดินทัพได้ทั้งหมด ทุกคนเหนื่อยล้า และหิวน้ำ และบ่อน้ำก็ขุดตื้นเกินไป ทำให้น้ำซึมออกมาไม่ทันกับความต้องการ ที่เรียกว่า KPOV (Key Process Output Variable) ทำให้ทหารต้องเสียชีวิตเพราะขาดน้ำดื่ม เมื่อทราบปัญหาก็ต้องปรับปรุง  Improvement  ตั้งแต่สาเหตุหลัก ซึ่งพันเอกหญิงโคลเอ้ได้ให้ทหารมาขุดบ่อน้ำเพิ่ม และที่สำคัญการเดินทัพกลับ จำนวนทหารลดไปมาก การขาดแคลนน้ำดื่มจึงไม่มีปัญหา สุดท้ายคือการควบคุม สั่งการการแก้ปัญหาท่านก็ทำได้ดี มอบอำนาจการตัดสินใจให้ระดับล่างสามารถสั่งการได้เลย” บักเคนอธิบายให้นโปเลียนกับอาดัมเข้าใจถึงแนวคิดการจัดการ

“เป็นประโยชน์มากเลยคุณเคน ผมจะนำไปปรับปรุงกองทัพเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งต่อไป ขอบคุณคุณเคนมาก” นโปเลียนกล่าวชมเชยบักเคน    

“ผมว่าแนวคิดของคุณเคนถ้าไปประยุกต์ในการผลิตสินค้าน่าจะเกิดประโยชน์ ผมจะแนะนำให้เพื่อนผมทีทำการค้าได้นำไปใช้” อาดัมบอกกับบักเคน

“นายท่านมาถึงตลาดแล้วครับ” รัสตัมร้องบอกกับทุกคน

“ไปพวกเราลองลงไปเดินชมร้านค้าตลาดกันดู” นโปเลียนได้บอกกับทุกคน และลงจากรถม้าโดยมีรัสตัมมาเปิดประตูให้

ทุกคนลงจากรถก็เดินชมตลาดกลางแจ้งมีพ่อค้านำของมาวางขายหลากหลาย เป็นถ้วยแก้ว ลูกปัด ผ้าหลากหลาย สัตว์ที่ถูกมัด มีทั้งไก่ แพะ รอถูกเชือด แพะหลายตัวมีน้ำตาไหลออกมา เหมือนรู้ตัวว่าจะถูกคนฆ่าเพื่อเป็นอาหาร เฟาเรสเห็นแพะตัวเมียแม่ลูก ถูกผูกไว้กับต้นไม้เล็ก น้ำตาแม่แพะไหล ส่วนลูกแพะยังไม่หย่านมก็ดูดนม แม่แพะ ชวนให้สังเวช บักเคนเห็นภาพ ก็เบือนหน้าหนี ไม่อยากเห็นภาพแม่แพะกับลูกแพะที่ต้องถูกคนซื้อไปเชือดทำอาหาร พยายามนึกว่าสัตว์โลกเป็นไปตามเวรและกรรม ตนเองคงช่วยอะไรมากไม่ได้

“ท่านค่ะ สงสารแม่แพะมีน้ำตาไหล และลูกแพะก็ยังตัวเล็ก ยังดูดนมแม่อยู่เลย น่าสงสารจัง หนูอยากจะช่วยชีวิตแม่แพะและลูกจะได้ไหมค่ะ จะขอซื้อไปเลี้ยง” เฟาเรสบอกกับนโปเลียน

“อืมส์ ถ้าสงสารก็ซื้อไปแล้วใครจะดูแล แม่แพะกับลูกแพะคู่นี้ ที่เรือนรับรองก็ไม่เลี้ยงแพะ” นโปเลียนถามเฟาเรส

“หนูอยากจะช่วยชีวิตแม่แพะคู่นี้ ส่วนคนเลี้ยงก็ไปฝากเพื่อนบ้านให้ช่วยเลี้ยง เพื่อนบ้านเป็นคนมีจิตใจเมตตา รักสัตว์ทานแต่ผักไม่ทานเนื้อ คิดว่าคงไม่มีปัญหา” เฟาเรสบอกกับนโปเลียน

“ถ้าอยากจะช่วยชีวิตแพะก็โอเค” รัสตัมถามราคาแพะแล้วจ่ายเงินให้หน่อย”   นโปเลียนหันมาสั่งรัสตัม

 

“ได้นายท่าน” เมื่อจ่ายเงินไถ่ชีวิตแพะ รัสตัมก็เป็นคนจูงแพะอีกหน้าที่หนึ่ง ทุกคนเดินชมตลาด นโปเลียนได้ถามทุกคนพวกเราเดินมาอาจจะเหนื่อยแวะดื่มชาก่อนจะดีไหม เห็นมีร้านขายน้ำชาอยู่ข้างหน้าไม่ไกล ทุกคนก็เดินไปโดยมีกองทหารม้า ได้ผูกม้าไว้นอกตลาด และมีทหารเดินติดตามประมาณ 30 นาย ส่วนรัสตัมได้มอบแพะแม่ลูกให้กับทหารจูงไปผูกไว้กับใกล้กับฝูงม้า แม่แพะเหมือนกับรู้ว่ารอดชีวิต ก็เดินตามทหารที่จูงไปอย่างเงียบ มีลูกแพะเดินติดตามอย่างไม่ห่าง นับเป็นความงดงามของชีวิตแม่ลูกที่ห่างความตายจากความเมตตาของเฟาเรส ที่เธอเดินมาพบก่อนลูกค้าคนอื่นจะซื้อแพะตัวนี้ไปย่าง หรือไปต้มกิน

You may also like...